1.เลือกโทนสีให้เหมาะกับห้องนั้นๆ

   สีของห้องนั้นควรแตกต่างกันออกไปตามการใช้งานของห้องนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น 

• สีของห้องนอนก็ควรจะเป็นสีโทนเย็นที่สบายตา
• สีของห้องนั่งเล่นสามารถเป็นสีที่สดใสอย่างสีพาสเทล สีที่เย็นสบายตาเช่นสีเขียวอ่อนๆ,สีฟ้า,สีครีม หรือเรียบๆสไตล์มินิมอลก็ได้ อย่างเช่นสีเทา,สีเทาตัดกับสีขาว

2.เลือกใช้โทนสีที่บาลานซ์กัน

  หากจะทาสีโทนเดียวกัน ต้องรู้วิธีการแบ่งน้ำหนักสี โดยเลือกสีหลักที่จะใช้ทาห้องมา 1 สี จากนั้นเลือกโทนสีเดียวกันที่อ่อนกว่าหรือเข้มกว่ามาใช้ไม่เกิน 3-4 สี เช่น เลือกทาห้องสีเขียวเข้ม ก็อาจจะต้องใช้เขียวอ่อนมาตัด เพื่อจะได้ช่วยเพิ่มมิติให้กับห้อง ทำให้มองแล้วไม่น่าเบื่อ 

  หากจะเลือกทาสีห้องที่ต้องใช้ 2 สีที่ไม่เหมือนกัน ก่อนอื่นต้องดูว่าสีทั้งสองอยู่ด้วยกันแล้ว ดูเหมาะสมกันหรือไม่

3.ดู Ref ของห้องที่ทาสีเสร็จแล้วจากในเน็ต เพื่อใช้ในการตัดสินใจและเป็นแบบอย่าง

  การหา Ref มาเป็นแบบอย่างจะช่วยให้เลือกโทนสีมาใช้ได้ง่ายขึ้นและตรงกับที่เราต้องการ ทำให้ช่วยเลือกโทนสีต่างๆมาตัดกันได้อย่างลงตัวอีกด้วย

4.เลือกสีที่มีคุณภาพ และกลิ่นไม่แรง

  การเลือกสีที่มีคุณภาพ สีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

• หากมีคราบเลอะสามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่าย 
• โดยที่เนื้อสีทนทานไม่หลุดลอก และสีไม่ซีดหรือจางได้ง่าย
• ป้องกันการเกิดเชื้อราได้ดี 
• ไม่มีสารระเหยที่มีกลิ่นฉุน และไม่มีสารที่ก่ออันตรายต่อผู้อยู่อาศัย 

5.เลือกชนิดฟิล์มสีให้เหมาะสมกับความต้องการ

  เลือกโทนสีอย่างเดียวไม่พอ ต้องเลือกชนิดฟิล์มสีให้เหมาะสมด้วย

โดยสีทาภายในมีฟิล์มสีอยู่ 3 ชนิด ที่ให้ผิวสัมผัส และความรู้สึกในเวลามองเห็นแตกต่างกันออกไป 

• ฟิล์มสีแบบด้าน: เมื่อทาสีลงไปแล้วพื้นผิวจะไม่สะท้อนแสง และสามารถปกปิดร่องรอยบนผนังได้เรียบเนียน 
• ฟิล์มสีแบบกึ่งเงา: สีที่ทาลงไปแล้วพื้นผิวจะสะท้อนแสงเล็กน้อย และมีเนื้อที่เงาเล็กน้อยสามารถทำความสะอาดได้ง่าย
• ฟิล์มสีแบบเงา: สีที่ทาลงไปแล้วพื้นผิวจะสะท้อนแสงได้ดี ทำให้ห้องดูสว่างขึ้นอย่างชัดเจน และมีเนื้อเงาที่ทนทานต่อการทำความสะอาด